สรุปเหตุการณ์สำคัญของตลาดหุ้นเวียดนาม (Vietnam Equity Market Update)
สรุปเหตุการณ์สำคัญของตลาดหุ้นเวียดนาม (Vietnam Equity Market Update)
ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงจากประเด็นการจับกุมผู้บริหารของบริษัทในตลาดหุ้น:
แม้มีปัจจัยภายนอกกดดันตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา VN Index สามารถมีการซื้อขายอยู่ในกรอบ 1,420 – 1,520 จุด แต่กลับมีการปรับตัวลงต่อเนื่องในตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2565 (-7.6% ตั้งแต่ 31 มีนาคม ถึง 22 เมษายน 2565) หลักๆ จากประเด็นการจับกุมประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ FLC Group ในข้อหาปั่นหุ้นเช่นเดียวกับ ประธานบริษัท Tan Hoang Minh Group บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อีกแห่งหนึ่งของเวียดนามในข้อหาทุจริตหุ้นกู้ ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปที่หุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และธนาคาร (ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องในการลงทุนหรือจำหน่ายหุ้นกู้ที่เกี่ยวข้อง) โดยตลาดหุ้นยังคงเผชิญแรงขายอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาจากความกังวลในการเข้าปราบปรามการทุจริตหรือคอร์รัปชันจากทางรัฐบาลที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
Source: TQ Professional
โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลงถึง 21% WoW ในช่วง 11-15 เมษายน 2565 หลักๆ จากความกังวลในกลุ่มนักลงทุนรายย่อยรวมถึงการโดนมาร์จิ้นคอล (Margin call) ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันปรับตัวดีขึ้น 13% WoW ในช่วง 18-22 เมษายน 2565 โดยแรงหนุนส่วนนึงมาจากนักลงทุนต่างชาติ (YTD ยังเป็นขายสุทธิ 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
มุมมองการลงทุน
• เศรษฐกิจเติบโตโดดเด่นจากการเปิดประเทศและนโยบายการคลัง
• นโยบายอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ ปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว
• การเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยว ส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว
เศรษฐกิจกลับมาโตโดดเด่นจากการเปิดประเทศและนโยบายการคลัง:
การเติบโตของ GDP ของประเทศเวียดนาม ปี 2565 ถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโตประมาณ 7% (โด่ดเด่นกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค) กลับไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับในช่วง 5 ปี ก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยได้รับแรงหนุนจากการเปิดประเทศมากขึ้น ทั้งในส่วนการจับจ่ายใช้สอยในประเทศที่สูงขึ้นหลังอัตราการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับสูง และนโยบายที่ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นต่อการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (เริ่ม 15 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา) รวมถึงแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง (fiscal stimulus) มูลค่าประมาณ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 4% ของ GDP ปี 2021
Source: HSC Research
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของประเทศเวียดนามที่มีโอกาสการปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด จะเป็นแรงกดดันไปที่ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) อาจต้องค่อยๆปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ด้วยเช่นกัน ถ้าอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงเกินเป้าหมายที่ 4% (ไตรมาส 1 ปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 2%) อย่างไรก็ดี เราคาดว่า SBV จะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยเพราะมีนโยบายสนับสนุนอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว
Source: HSC Research
จากข้อมูลในอดีต (2558-2564) พบว่าการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยนโยบายของ SBV และเฟดจะไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันเสมอไป เนื่องจากเวียดนามต้องการสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศและค่าเงินดอง (ค่าเงินอ่อนเทียบดอลลาร์สหรัฐจะดีต่อการส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI) อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ SBV จำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างมีนัย ตลาดหุ้นจะถูกกระทบโดยเฉพาะในด้านสภาพคล่อง ปัจจุบันทางเรายังคาดว่าโอกาสการต้องรีบปรับอัตราดอกเบี้ย ยังมีความเป็นเป็นได้น้อย เมื่อพิจารณาจากตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุด
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนสำหรับช่วงเวลานี้ ทีมจัดการลงทุนคาดว่าหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่น่าสนใจในด้านการประเมินมูลค่า (valuation) และความสามารถในการเติบในอนาคต รวมทั้งจะได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากที่สุด เพราะมีโมเดลธุรกิจและงบดุลที่แข็งแกร่ง ดังนั้น คาดว่า Fund Flow เงินลงทุนจะไหลเข้าไปที่หุ้นขนาดใหญ่ ก่อนที่จะไปที่หุ้นขนาดกลางและเล็ก โดย กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ (PRINCIPAL VNEQ) และ กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม ไทย ออพพอร์ทูนิตี้ (PRINCIPAL VTOPP) ปัจจุบันเน้นลงทุนเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ สภาพคล่องดี ทั้งนี้กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม ไทย ออพพอร์ทูนิตี้ (PRINCIPAL VTOPP) ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนหุ้นเวียดนาม 65% หุ้นไทย 35% โดยประมาณ และมีการกระจายน้ำหนักการลงทุนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งทำให้กระจายความเสี่ยงของการลงทุน ในขณะที่การลงทุนในหุ้นไทยเป็นหุ้นที่ได้อานิสงค์และประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม
อ่าน Special Report – Vietnam Equity Market Update ที่นี่
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน / PRINCIPAL VNEQ และ PRINCIPAL VTOPP ลงทุนกระจุกตัวในประเทศเวียดนามผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย / ผู้ลงทุนควรศึกษาผลการดำเนินงานของหน่วยลงทุนแต่ละชนิดของกองทุน PRINCIPAL VNEQ และ PRINCIPAL VTOPP ใน https://www.principal.th/th/mutual-fundth ก่อนตัดสินใจลงทุน / กองทุนอาจใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของกองทุน (Hedging) โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ ผู้จัดการกองทุน / กองทุนมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ กองทุนมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนอาจได้รับกำไร หรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืน ต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต