Principal Investment Commentary : October 2024
Principal Vietnam Equity Fund (PRINCIPAL VNEQ)
ภาพรวมตลาด
ในช่วง 6 เดือนจนถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ตลาดหุ้นเวียดนาม VN Index เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ (Sideway) โดยดัชนีได้ขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,300 จุดหลายครั้งในเดือนตุลาคม แต่ก็ไม่สามารถผ่านได้ สาเหตุหลักมาจากการที่ตลาดคาดการณ์ว่าตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 4/2567 ถึงแม้จะโตกว่าเมื่อเทียบกับภาพรวมปี 2567 แต่มีแนวโน้มต่ำกว่าเมื่อเทียบกับตัวเลขที่ประกาศในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการทั่วโลก (Global Demand) เพิ่มขึ้นมหาศาลและทำให้ให้บริษัทต่าง ๆ มีการสั่งผลิตสินค้า (Restocking) จำนวนมากในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี เห็นได้จากตัวเลขการเติบโตภาคการผลิตและการส่งออกของเวียดนามที่โตได้น่าประทับใจในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ความกังวลเรื่องการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าใหญ่ที่สุดของเวียดนามในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคมที่ผ่านมา ก็ทำให้ยอดการสั่งซื้อต่าง ๆ ชะลอตัวเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามนักลงทุนทั่วโลกได้คลายความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวในสหรัฐฯ ลงแล้ว หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ประกาศล่าสุดส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด และผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าโดนัลด์ ทรัมป์ และพรรครีพับลิกันจะได้รับชัยชนะทั้งสองสภาในการเลือกตั้งวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้เกิดผลกระทบทางลบกับตลาดหุ้นของประเทศที่มีสัดส่วนส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯสูง จากนโยบายของทรัมป์ที่จะขึ้นภาษีศุลกากรจากสินค้าต่างประเทศ ทั้งนี้ผลกระทบนี้คาดว่าจะเกิดในระยะสั้นกับตลาดหุ้นเวียดนามเท่านั้น เนื่องจากการกีดกันทางการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ เน้นไปที่ประเทศจีนเป็นหลัก โดยสินค้าจากจีนอาจถูกเก็บภาษีศุลกากรถึง 60% ระหว่างการดำรงตำแหน่งครั้งที่สองของทรัมป์ ดังนั้นแนวโน้มที่หลายบริษัทจะย้ายฐานการผลิต หรือ กระจายฐานการผลิตจากจีนมาที่ประเทศอื่นมากขึ้นย่อมส่งผลดีกับเวียดนามที่มีศักยภาพการแข่งขันในการเป็นฐานการผลิตในหลายอุตสาหกรรมได้อย่างโดดเด่น ทั้งในแง่ของต้นทุน คุณภาพ และภูมิศาสตร์
จากการที่ตลาดลดความกังวลเรื่องการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ (Recession) ของสหรัฐฯ และชัยชนะของทรัมป์ในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ผ่านมา ทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอีกครั้ง ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) สหรัฐฯ ก็ปรับตัวขึ้นแรงเมื่อเทียบกับช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศกำลังพัฒนาต่าง ๆ ทั้งจีน ไทย และเวียดนาม เงินทุนจำนวนมหาศาลที่เคยไหลมาที่ประเทศกำลังพัฒนาในช่วงประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมาถูกดึงกลับไปที่สหรัฐฯ อีกครั้ง จึงไม่น่าแปลกใจที่ตลาดหุ้นของหลายประเทศปรับตัวลดลง ทั้งนี้ตลาดหุ้นเวียดนามปรับขึ้นเล็กน้อยในช่วงวันที่มีการเลือกตั้งสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพื้นฐานเศรษฐกิจที่มีโอกาสเติบโตได้แข็งแกร่งในระยะยาว โดยเฉพาะด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ที่มีโอกาสโตขึ้นจากการใช้กลยุทธ์ China+1 และการกระจายฐานการผลิตและบริการมาที่เวียดนามมากขึ้น ในขณะที่สภาวะการเมืองที่เคยผันผวนมากในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาได้กลับมาสงบอีกครั้ง โดยคาดว่ารักษาการแทนเลขาธิกาพรรคสังคมนิยมและประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่างโต ลาม มีโอกาสสูงที่จะได้ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของเวียดนามในการเลือกตั้งเลขาธิกาพรรคสังคมนิยมครั้งถัดไป โต ลาม เป็นผู้นำที่เป็นมิตรกับด้านการค้าและการฑูต ในช่วงที่ผ่านมา โต ลาม ได้มีการเยือนทั้งประเทศจีนและสหรัฐฯ และรักษาความเป็นกลางทางการเมืองระหว่างประเทศมหาอำนาจทั้งสองของโลกไว้ได้
กองทุน PRINCIPAL VNEQ
กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ หรือ PRINCIPAL VNEQ สร้างผลตอบแทนในช่วง 6 เดือนน้อยกว่าดัชนี VN Index โดยมีสาเหตุหลักมาจากการอ่อนตัวลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายน และทำให้กองทุนได้รับผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงิน นอกจากนี้กลยุทธ์การลงทุนของ PRINCIPAL VNEQ ที่มีการประยุกต์เรื่อง ESG (Environment, Social และ Governance) มาใช้ประกอบการคัดเลือกหลักทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนทำให้กองทุนไม่มีการ
ลงทุนในหุ้นบางตัวที่ไม่ผ่านเกณฑ์เรื่องธรรมาภิบาล เช่น Vinhomes JSC (VHM) ซึ่งเป็นหุ้นที่ขนาดใหญ่ 1 ใน 10 ของ VN Index โดยราคาของ VHM ปรับขึ้นประมาณ 11% ในช่วง 3 เดือนตั้งแต่สิงหาคมถึงตุลาคม การเพิ่มขึ้นของราคา VHM เกิดจากการประกาศซื้อหุ้นคืนของบริษัทในช่วงสิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนรายย่อยเข้าไปทำกำไรจำนวนมาก ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้ปรับขึ้นและทำให้นักลงทุนเทขายหุ้น VHM ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจนปัจจุบัน นอกจากนี้พอร์ตการลงทุนของ PRINCIPAL VNEQ มีการลงทุนในกลุ่มธนาคารน้อยกว่า VN Index ในขณะที่กลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะธนาคารรัฐวิสาหกิจที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ปรับขึ้นสูง ตัวอย่างธนาคารที่กองทุน PRINCIPAL VNEQ ไม่มีการลงทุนแต่ราคามีการปรับขึ้นสูงในช่วง 3 เดือนถึงตุลาคม ได้แก่ Vietnam Joint Stock Commercial Bank (CTG) เนื่องจากคุณภาพของสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่น และแนวทางการปรับคุณภาพสินเชื่อที่ซับซ้อน แต่หากพิจารณาผลตอบแทนในช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคม 2567 (Year-to-Date: YTD) กองทุนยังสามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้เหนือกว่า VN Index ได้จากการคัดเลือกหลักทรัพย์ได้ (Security Selection) โดยราคาช่วง YTD ของกองทุน PRINCIPAL VNEQ ปรับขึ้น 14.55% ในขณะที่ VN Index ปรับขึ้น 11.91%
โดยในไตรมาส 4/2567 นี้ ทีมผู้จัดการกองทุน เน้นลงทุนในหุ้นที่ถูกจัดเป็นพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) ที่มีขนาดใหญ่ คุณภาพดี งบการเงินแข็งแกร่งมากขึ้น โดยมีการเพิ่มสัดส่วนกลุ่มการเงิน (Financial) โดยเฉพาะธนาคารใหญ่ที่มีแนวโน้มอัตราการสินเชื่อเติบโตสูง เช่น Joint Stock Commercial Bank for Foreign Trade of Vietnam (VCB) และ Vietnam Prosperity Bank (VPB) และกลุ่มสินค้าจำเป็น (Consumer Staples) เช่น Vietnam Dairy Products (VNM) และมีการถือครองสภาพคล่องมากขึ้นเพื่อรอลงทุนในช่วงที่ตลาดมีการปรับฐาน ผู้จัดการกองทุนยังมองว่ากองทุนจะสามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับนักลงทุนได้จากพื้นฐานของประเทศเวียดนามที่แข็งแกร่งในระยะยาว และจากความสามารถ
ในการคัดเลือกหลักทรัพย์จากการวิเคราะห์อย่างเข้มงวด มุ่งเน้นหาข้อมูลโดยตรงผ่านการเยือนประเทศเวียดนามเฉลี่ย
ไตรมาสละ 1 ครั้ง ทั้งจากการพูดคุยกับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่สนใจลงทุน และหาข้อมูลจากพื้นที่จริงเพื่อเป็นหนึ่งในการวิเคราะห์คุณภาพหลักทรัพย์ที่ลงทุน รวมทั้งการหาหลักทรัพย์คุณภาพที่มีความน่าสนใจในการเพิ่มในพอร์ตลงทุน
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทําความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทน และ ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน / กองทุน PRINCIPAL VNEQ ลงทุนกระจุกตัวในประเทศเวียดนาม ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย / กองทุนมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ กองทุนอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไร จากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าทุนเริ่มแรกได้ / บริษัทจัดการใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของกองทุน (Hedging) ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน / ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต