ก้าวหน้าไปพร้อมมหาอำนาจด้านการบริโภคของโลกกับ กองทุนเปิดพรินซิเพิล อินเดีย อิควิตี้ PRINCIPAL INDIAEQ

Image

‘อินเดีย’ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก 

ซึ่งปัจจัยหลักมาจากปัจจัยภายในประเทศด้านการบริโภคที่คิดเป็น 60% ของ GDP ทำให้อินเดียได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘มหาอำนาจด้านการบริโภคของโลก’ และด้วยอัตราการเติบโตที่มั่นคงต่อไปในอนาคต ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน สำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการลงทุนในอินเดีย บลจ.พรินซิเพิล ขอแนะนำกองทุนใหม่ PRINCIPAL INDIAEQ (กองทุนเปิดพรินซิเพิล อินเดีย อิควิตี้) โดยกองทุนหลักบริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุนและนักวิเคราะห์กว่า 30 คนที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรงในการลงทุนหุ้นอินเดีย สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวกับการลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโตสูงและมีคุณภาพสูง

ดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.principal.th/th/principal/INDIAEQ-A 

 << ดาวน์โหลดแล้วซื้อกองทุนผ่านแอป Principal TH คลิก >>

Image

การเติบโตทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นแรงหนุนสำคัญของตลาดหุ้นอินเดีย 

บลจ.พรินซิเพิล จึงขอพาทุกคนมาเจาะลึกภาพรวมของประเทศอินเดียว่ามีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง

1. เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง
อินเดียเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่และคาดว่าจะเป็นหนึ่งในประเทศที่อัตราการเติบโตของ GDP สูงที่สุดในโลก ในปี 2023 อินเดียมี GDP เป็นอันดับ 5 ของโลก คิดเป็นมูลค่า 3.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยคาดว่าในปี 2029 GDP ของอินเดียจะขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลก ด้วยมูลค่าประมาณ 6.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ จากการขยายตัวของชนชั้นกลางอย่างต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากร โดยในปี 2023 อินเดียมีประชากรมากที่สุดในโลกกว่า 1.4 พันล้านคน และรายได้ที่เติบโตเฉลี่ย 8.4% CAGR

2. รัฐบาลมีความสมดุลมากขึ้น
สถิติในอดีตชี้ว่าตลาดหุ้นอินเดียเติบโตเฉลี่ย 18% ในระยะเวลาเพียง 6 เดือนนับตั้งแต่วันสิ้นสุดการเลือกตั้งใหญ่ (General Election) ระหว่างปี 1999 ถึง 2019 โดยผลการเลือกตั้งปี 2024 ออกมาว่าโมดีจากพรรค BJP ชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 3 แต่เป็นชัยชนะที่ต่างออกไป เนื่องจากได้ที่นั่ง ส.ส. น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสภา ทำให้ต้องจับมือกับพรรคอื่นเพื่อจัดตั้งรัฐบาลร่วมเป็นครั้งแรก ส่งผลดีกับประชาชนในประเทศเนื่องจากการมีรัฐบาลร่วมจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในเมืองหลักและชนบท ลดความเหลื่อมล้ำ โดยอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและการเงินจะได้รับประโยชน์มากขึ้น ขณะที่บางอุตสาหกรรมที่เคยเติบโตจากการมีความสัมพันธ์ดีกับพรรค BJP อาจได้ประโยชน์น้อยลง

Image

ตลาดหุ้นอินเดียในปัจจุบันมีความน่าสนใจอย่างไรและจะเติบโตไปในทิศทางไหนในอนาคต 

1. ตลาดหุ้นอินเดียโตเฉลี่ย 16.5% ต่อปี ระหว่างปี 2002–2020 โตกว่าค่าเฉลี่ยตลาดหุ้นโลก
2. รายได้ของบริษัทในตลาดหุ้นเติบโตอย่างต่อเนื่องและตลาดหุ้นมีการกระจายตัวในหลายอุตสาหกรรม
3. มีการใช้นโยบาย Make in India ส่งเสริมภาคการผลิตของอินเดีย เน้นสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ
4. อินเดียได้ประโยชน์จากการที่หลายบริษัทใช้ China+1 ทำให้มีบริษัทข้ามชาติลงทุนมากขึ้นโดยเฉพาะที่เป็นโครงการใหม่ (Greenfield Project)
5. เสถียรภาพของค่าเงินรูปีและการเมืองทำให้อินเดียดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ
6. มีจำนวนบริษัทรัฐวิสาหกิจ (SOEs) น้อยกว่าประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ และมีสัดส่วนของภาคเอกชนมาก ทำให้มีโอกาสเติบโตสูงมากกว่า

(Source: White Oak, Bloomberg, IMF, World Bank, data as of 6 June 2024)

Image

กองทุนเปิดพรินซิเพิล อินเดีย อิควิตี้ PRINCIPAL INDIAEQ

ลงทุนในกองทุนหลักหุ้นอินเดียที่มีศักยภาพสูง ASHOKA WHITEOAK INDIA OPPORTUNITIES FUND

จุดเด่นของกองทุนหลักมีดังนี้

1. สร้างผลตอบแทนที่ดีได้สม่ำเสมอ
- ให้ผลตอบแทนสูงสุดเมื่อเทียบกับกองทุนหุ้นอินเดียอื่นๆ โดยให้ผลตอบแทนสูงถึง 146.3% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของกองทุนอื่นอยู่เพียง 118.5%
- ทีมการลงทุนมีการปรับพอร์ตเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์การลงทุนอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี
- กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการเลือกลงทุนในหุ้น IPO บางตัวที่มีศักยภาพสูงได้

2. ทีมมีความเชี่ยวชาญ เข้าใจตลาดหุ้นอินเดีย
- ทีมการลงทุนมีมากถึง 32 คน และทีมมีเสถียรภาพสูง โดยบุคลากรหลักยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่จัดตั้งกองทุน
- ผู้จัดการกองทุนมีประสบการณ์เฉลี่ยมากกว่า 17 ปี และมีความเชี่ยวชาญในการบริหารหุ้นทั่วโลกและอินเดีย
- มีการจัดทำรายงานวิเคราะห์ทั้งในอินเดีย สหรัฐฯ ประเทศกำลังพัฒนาและชายขอบมากกว่า 3,000 ชิ้นทั่วโลก
- เข้าใจการลงทุนในอินเดียอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง

3. เน้นพอร์ตการลงทุนแบบสมดุล
- กองทุนกระจายการลงทุนในหุ้นทุกกลุ่มอุตสาหกรรม
- ให้น้ำหนักหุ้นขนาดเล็กและกลางมากกว่าดัชนีชี้วัด เพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม
- ให้น้ำหนักในหุ้นขนาดเล็กและกลาง 40%-50% ของพอร์ต ในขณะที่ดัชนีชี้วัดมีเพียง 15%-25%
- มีการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโต

Image

แนวทางการลงทุนโดดเด่น เพิ่มโอกาสสร้างผลกำไรก้าวกระโดด

หลักการในการลงทุนเน้นเป็น Bottom-Up เพื่อการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนส่วนเพิ่มในระยะยาว จากการลงทุนในแบบสมดุลในหุ้นกลุ่มเติบโตสูง โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและเล็กในตลาดหุ้นอินเดีย โดยจะลงทุนในหลักทรัพย์ประมาณ 75-150 ตัว
1. วิเคราะห์ด้วยข้อมูลเชิงคุณภาพ: เลือกธุรกิจแข็งแกร่งที่มีงบการเงินแข็งแกร่ง มีการบริหารงานที่ดี มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต และมีธรรมาภิบาล
2. วิเคราะห์ด้วยข้อมูลเชิงคุณปริมาณ: เลือกหุ้นที่มีมูลค่าเหมาะสม โดยราคาปัจจุบันอยู่ต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินได้ โดยพิจารณาจากกระแสเงินสดด้วยวิธีการเฉพาะที่เรียกว่า OpcoFinco™ เพื่อหาธุรกิจที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับธุรกิจในกลุ่มเดียวกัน

เกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์

เลือกหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง มีลักษณะที่เป็น Strong character คือ มีธรรมาภิบาล และธุรกิจเติบโตได้จากความสามารถของผู้บริหารและกลยุทธ์องค์กร เช่น การเงิน การบริโภค และเทคโนโลยี โดยหลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่ม Weak character เช่น พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐาน ยาสูบ รัฐวิสาหกิจ หรือธุรกิจที่นายทุนผูกขาด หากมีการลงทุนใน Weak character จะลงทุนในสัดส่วนที่น้อยกว่าดัชนีชี้วัดเพื่อควบคุมคุณภาพกองทุน

Image

เติบโตอย่างยั่งยืนไปกับหุ้นบริษัทชื่อดังในอินเดีย ผ่านกองทุนเปิดพรินซิเพิล อินเดีย อิควิตี้ PRINCIPAL INDIAEQ

หลักทรัพย์ 10 อันดับแรก

1. ICICI Bank
2. Tata Consultancy Services
3. State Bank of India
4. Reliance Industries
5. HDFC Bank
6. Bharti Airtel Ltd
7. Info Edge India
8. Nestle India Ltd
9. CG Power & Industrial Solutions Ltd
10. Zomato Ltd

หลักทรัพย์ 10 อันดับแรกอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมของอินเดีย ไม่ว่าจะเป็น Financials, Information Technology, Energy, Communication Services, Consumer Staples และ Industrials ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนได้อีกด้วย

ตัวอย่างหลักทรัพย์ที่ลงทุน

ICICI Bank
ธนาคารเอกชนที่มีสินทรัพย์เป็นอันดับสองของอินเดียมีจุดเด่นจากการเป็นผู้ให้บริการทางการเงินที่หลากหลาย เป็นผู้นำด้าน Digital Banking ของตลาด โดย ICICI มีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง มีการเติบโตของรายได้ต่อผู้ถือหุ้น (EPS Growth) เฉลี่ย 5 ปี ในช่วงปี 2019 – 2023 สูงถึง 25% ต่อปี

Info Edge India
เป็นผู้นำการให้บริการอินเทอร์เน็ตของอินเดีย มีแพลตฟอร์มที่มีชื่อเสียงต่างๆ เช่น เว็บไซต์จัดหางาน อสังหาฯ และการศึกษา โดยบริษัทมีกลยุทธ์ที่จะลงทุนใน startup มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโต ทำให้บริษัทสร้างรายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่องในปี 2023 มีกำไรสุทธิถึง 24% โตจากปีก่อน 222%

Image

กองทุนหลัก ASHOKA WHITEOAK INDIA OPPORTUNITIES FUND

สามารถสร้างผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนให้อยู่ใน Quartile Ranking อันดับ 1 ได้ โดยกองทุนหลักให้ผลตอบแทนสูงถึง 163.74% ในขณะที่ Benchmark (MSCI India IMI) ให้ผลตอบแทนเพียง 119.18% แม้ว่าจะมีช่วงที่ผลตอบแทนในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในปี 2022 แต่ทีมลงทุนก็มีการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดมากขึ้น และทำให้สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ตั้งแต่ปี 2023


 สำหรับนักลงทุนที่มองเห็นโอกาสเติบโตของตลาดของประเทศอินเดีย จากบลจ.พรินซิเพิล สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ธนาคาร CIMB Thai จำกัด, พันธมิตรทางธุรกิจ 
และตัวแทนที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ หรือลงทุนผ่านแอป Principal TH ได้แล้ววันนี้

 << ดาวน์โหลดแล้วซื้อกองทุนผ่านแอป Principal TH คลิก >>

ดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ https://www.principal.th/th/principal/INDIAEQ-A 
ข้อมูลกองทุนรวม บลจ.พรินซิเพิล https://www.principal.th/th/mutual-fundth
ติดต่อได้ที่เว็บไซต์ https://www.principal.th/ หรือโทร 02-686-9500

ติดตามข่าวสาร และข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมจาก บลจ.พรินซิเพิล ได้ทุกช่องทาง
Facebook : https://www.facebook.com/principalthailand
YouTube : https://www.youtube.com/c/PrincipalThailand
LINE: @PrincipalThailand
Website : ​​https://www.principal.th/
หรือโทร 02-686-9500

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน / PRINCIPAL INDIAEQ กองทุนหลักลงทุนลงทุนกระจุกตัวในประเทศอินเดีย ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย / บริษัทจัดการใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของกองทุน (Hedging) โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน / กองทุนมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ กองทุนมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนอาจได้รับกำไร หรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืน ต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

Source: 
White Oak, Bloomberg, IMF, World Bank, data as of 6 June 2024
WhiteOak, Morningstar, FactSet, *Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund Class D USD Accumulation, data as of April 2024
White Oak, Bloomberg, IMF, World Bank, data as of 6 June 2024
WhiteOak, Morningstar, FactSet, *Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund Class D USD Accumulation, data as of 30 June 2024
Morningstar Direct, WhiteOak FactSheet, data as of 30 June 2024. *Ashoka WhiteOak India Opportunities Fund Class D USD Acc. **Annualized return ก่อตั้งวันที่ 31 ม.ค. 2019