Cloud Computing เทคโนโลยีเบื้องหลังความสำเร็จของโลกออนไลน์
ทุกวันนี้ 'เทคโนโลยี' เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย จากพฤติกรรมของผู้คนที่สมัยนี้ ตื่นเช้ามาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตอบแชท LINE หรือเข้าแอปพลิเคชัน Facebook เพื่อดูความเคลื่อนไหวว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ช่วงระหว่างการเดินทางก็ฟังเพลงจากแอปพลิเคชันต่าง ๆ เมื่อเดินทางถึงที่ทำงานก็เปิดอีเมลเพื่อเริ่มต้นทำงาน รวมถึงตอนทำงาน ก็เปิดเว็บไซต์หรือโปรแกรมที่ต้องใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
นอกจากนี้การเก็บข้อมูลและแชร์ไฟล์งาน ก็ผ่านระบบออนไลน์แทบทั้งหมดอย่าง Dropbox, Google Drive หรือ One Drive หรือถ้าเราจะโอนเงิน ชำระเงินต่าง ๆ ก็ทำผ่านระบบออนไลน์ไม่ว่าจะเป็น Internet Banking หรือ Mobile Banking ยิ่งช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ยิ่งทำให้การทำงานในลักษณะที่พบเจอกันแบบออฟไลน์น้อยลง อีกทั้งในระบบการศึกษาเองก็มีการพัฒนาการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์มากขึ้น รวมทั้งการเติบโตของธุรกิจ E-commerce ที่เดิมมีอัตราการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้นในช่วง COVID-19 เราจะเห็นว่าได้ว่าในยุคสมัยนี้ทุกสิ่งรอบตัวหันเข้ามาสู่โลกออนไลน์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งถ้าเปรียบเทียบข้อมูลต่าง ๆ ที่รับส่งกันบนโลกออนไลน์ คือ "ผู้โดยสาร" และ โครงสร้างพื้นฐาน คือ “ขบวนรถไฟ” ที่คอยบรรทุกผู้โดยสารเตรียมรอส่งไปยังพื้นที่ต่าง ๆ โดยจะมี "ระบบราง" เป็นตัวเชื่อมพาขบวนรถไฟที่บรรทุกผู้โดยสารไปยังพื้นที่ต่าง ๆ
สิ่งที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เอาไว้บรรจุ "ข้อมูล" เพื่อเตรียมส่งไปทั่วโลกก็คือ "เทคโนโลยี Cloud Computing" และมีระบบ "อินเทอร์เน็ต" ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมคล้ายกับระบบรางเพื่อส่งข้อมูลไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เรียกว่า ถ้าอินเทอร์เน็ตเข้าถึงก็สามารถรับส่งข้อมูลกันได้ทุกที่ทุกเวลา
“เทคโนโลยี Cloud Computing” คือ เทคโนโลยีที่ช่วยจัดการข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทั่วโลกขอแค่มีอินเทอร์เน็ตเข้าถึง ในปัจจุบันบริการอะไรก็ตามที่เราต้องใส่ Username และ Password เพื่อเข้าใช้งาน โดยไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดข้อมูลใด ๆ เข้าสู่อุปกรณ์ของเราก่อนเริ่มใช้งาน ล้วนแล้วแต่มีเทคโนโลยี Cloud Computing อยู่เบื้องหลังแทบทั้งสิ้น ยิ่งความต้องการใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องการเทคโนโลยี Cloud Computing มากขึ้นเท่านั้น
ณ เวลานี้ Cloud Computing กำลังดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลกจากมูลค่าตลาดมากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ถ้าลองย้อนไปดูการคาดการณ์การเติบโตต่าง ๆ ในปี 2015 หรือ 5 ปีที่แล้ว จะเห็นว่ามีการคาดการณ์ว่าตลาด Cloud Computing จะมีขนาดเพียง 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น ซึ่งแปลว่ามีความต้องการใช้ Could Computing มากกว่าที่คาดการณ์ไว้มากกว่า 1 เท่าตัวเลยทีเดียว สะท้อนให้เห็นว่าโอกาสการเติบโตนั้นมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก
หากเราเจาะลึกไปที่ตลาด Software ณ ปัจจุบันที่มีการซื้อขาย Software ผ่านระบบ Cloud เพียง 30% เท่านั้น โดยมีการคาดการณ์กันว่าภายในปี 2030 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า น่าจะกินพื้นที่ตลาดได้มากกว่า 90% แล้วถ้าดูแนวโน้มในอนาคต ณ เวลานี้ยังน่าจะยังไม่มีเทคโนโลยีใด ๆ ขึ้นมาทดแทน Cloud Computing เลย เราจึงได้เห็นการลงทุนในระบบ Cloud เพื่อรองรับความต้องการที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต
เรียกได้ว่าโลกออนไลน์เติบโตมากเท่าไหร่ ความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลก็จะยิ่งมากขึ้น เทคโนโลยี Cloud Computing ก็จะยิ่งเป็นที่ต้องการมากขึ้น ซึ่งสำหรับใครมองเห็นโอกาสและต้องการลงทุนใน Could Service ผู้ให้บริการการเก็บข้อมูลผ่านเทคโนโลยี Cloud Computing ทาง บลจ. พรินซิเพิล เองก็มี "กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล คลาวด์ คอมพิวติ้ง ชนิดสะสมมูลค่า (PRINCIPAL GCLOUD - A)" ที่จะเน้นลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้ใช้บริการที่มีรายได้มากจาก Could Delivery Model อย่างเช่น Zoom, Shopify, Adobe, Saleforce.com และ 2U เป็นต้น
PRINCIPAL GCLOUD - A จะลงทุนผ่านกองทุนหลัก WisdomTree Cloud Computing UCITs ETF ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้น่าสนใจ รวมถึงมีการกระจายความเสี่ยงที่ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนรวมประเภทเดียวกัน โดย WisdomTree Cloud Computing UCITs ETF จะเน้นลงทุนอ้างอิง BVP Nasdaq Emerging Cloud Index
โดยจุดเด่นของกองทุน WisdomTree Cloud Computing UCITs ETF จะใช้กลยุทธ์ลงทุนแบบ Equal-weighted Allocation เป็นการกระจายน้ำหนักการลงทุนเท่ากันในหุ้นแต่ละตัวที่ถูกคำนวณใน BVP Nasdaq Emerging Cloud Index เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนหุ้นขนาดเล็ก ที่มีโอกาสเติบโตและสร้างผลตอบแทนที่ดีมากขึ้น ซึ่งถ้าเกิดบริษัทใหม่ ๆ (Market Challenger) ที่เติบโตขึ้นมา แล้วเข้าเงื่อนไขตามที่ดัชนี BVP Nasdaq Emerging Cloud Index กำหนด แน่นอนว่ากองทุนก็จะได้ลงทุนในบริษัทเหล่านั้นด้วย ถือว่าเป็นโอกาสในการลงทุนที่มากขึ้น
ระบบ Cloud ถือว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานของโลกอนาคต ยิ่งเศรษฐกิจโลกเติบโตมากเท่าไหร่ ความต้องการใช้ระบบ Cloud ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเพราะระบบ Cloud กำลังเข้ามาทดแทนระบบการจัดการข้อมูลแบบเดิม ๆ ได้อย่างลงตัวตั้งแต่ต้นทุนที่ถูกกว่า แต่มีความสะดวกและความปลอดภัยที่มากกว่า ทำให้การกลับไปใช้การเก็บข้อมูลแบบเดิมก็จะยิ่งน้อยลงจนถึงวันหนึ่งอาจจะไม่มีคนใช้งานในลักษณะเดิมอีกก็เป็นไปได้เช่นกัน
ใครที่สนใจกองทุน PRINCIPAL GCLOUD – A สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ https://www.principal.th/th/principal/GCLOUD-A
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทน และ ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน/ กองทุนอาจใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของกองทุน (Hedging) โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน/ กองทุนมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ กองทุนมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนอาจได้รับกำไร หรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้/ กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในประเทศสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วยผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน/กองทุนหลักมีการกระจุกตัวในกลุ่มเทคโนโลยี (Information Technology Sector) ซึ่งมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค และความล้าสมัยของสินค้า ดังนั้น หากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าวผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจานวนมาก และอาจมีความเสี่ยงและความผันผวนของราคาสูงกว่ากองทุนรวมทั่วไปที่มีการกระจายหลายอุตสาหกรรม/ ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต