The Ease East เมื่อผู้นำเอเชียจะกลับเข้าสู่การขับเคลื่อนอีกครั้ง
ด้วยสถานการณ์การลงทุนปัจจุบัน และความกังวลต่อการแพร่กระจายของไวรัสโคโรน่า ถือเป็นโอกาสการทยอยสะสมหุ้นกลุ่มประเทศเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) คุณภาพสูงกองทุน PRINCIPAL APDI และ PRINCIPAL CHEQ ด้วยเหตุผล
1. ตัวเลขคาดการณ์กำไรต่อหุ้น 12 เดือนข้างหน้าดีขึ้น
2. มีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นโลก
3. ประเทศจีนมีสัดส่วนของบริษัทที่มี Earnings surprise และ Sales surprise สูงสุดเกือบครึ่ง ในรอบ 6 เดือน และ 5 เดือนของปี 2019 ตามลำดับ
4. จำนวนผู้ป่วยสะสมในจีนติดเชื้อไวรัสโคโรน่าชะลอตัวลงและจ านวนผู้ป่วยรักษาหายสะสมทั่วโลก (โดยเฉพาะในจีน) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจุบันโลกอยู่ในภาวะ 2 ต่ำคือ เติบโตต่ำและดอกเบี้ยต่ำซึ่งมีแนวโน้มอยู่ยาวนานยิ่งขึ้น (Lower for longer) นอกจากนี้ยังมีปัจจัยรุมเร้าไม่ว่าจะเป็น
1.ความกังวลของภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
2.การเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐฯ
3.สงครามการค้าสหรัฐฯ กับประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะจีน
4. การแพร่กระจายของไวรัสโคโรน่า
ดังนั้นการถอยกลับมาหนึ่งก้าวเพื่อพิจารณาถึงตัวแปรสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนจึงเป็นสิ่งที่พึงกระทำตัวแปรเหล่านั้นคือ
1.ปัจจัยเชิงพื้นฐาน
2.ปัจจัยเชิงมูลค่า
3.ปัจจัยเชิงโมเมนตัม และ
4.ปัจจัยเสี่ยงและเพื่อตอบคำถามว่าเราจะสามารถแสวงโอกาสหาผลตอบแทนจากสินทรัพย์ใดและในภูมิภาคใด ณ เวลานี้
1.ปัจจัยเชิงพื้นฐาน พบว่าโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยในปี 2020 นั้นลดลง (ภาพที่ 1) เนื่องจากปริมาณกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งวัดจากตัวเลข PMI ที่สามารถชี้นำตัวเลขการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคตได้ของทั้งภาคการผลิตและภาคบริการนั้นหดตัวลดลงหรือขยายตัวมากขึ้นโดยเฉพาะมูลค่าขนาดเศรษฐกิจของภาคบริการที่ถือเป็น 70% ของมูลค่า GDP โลกนั้นยังขยายตัวและขยายตัวดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขดังกล่าวช่วงไตรมาส 3 ปี 2019 จนถึงต้นไตรมาส 4 ปี 2019 ที่เสมือนว่าเป็นจุดต่ำสุด โดยสาเหตุหลักเป็นเพราะธนาคารกลางทั่วโลกที่หันมาใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวอาจกลับมาแย่ลงโดยเฉพาะของประเทศจีน เพราะทางการจีนห้ามการนำเข้าและส่งออก การปิดเส้นทางการเดินทางเข้าและออกประเทศ อีกทั้งด้านอื่น ๆ ด้วยการตัดไฟแต่ต้นลม การจัดการอย่างทันท่วงทีและการเพิ่มสภาพคล่องให้ระบบของจีน การลุกลามไปจนถึงภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยจึงมีแนวโน้มจำกัด ดอกเบี้ยที่ต่ำทั่วโลกและภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยที่ไม่น่าเกิดขึ้นในปีนี้เช่นนี้ ทำให้การลงทุนในหุ้นมีความน่าสนใจ
เมื่อพิจารณาผลประกอบการของบริษัท พบว่า กลุ่มหุ้นประเทศเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) มีตัวเลขคาดการณ์กำไรต่อหุ้น 12 เดือนข้างหน้าดีขึ้น (ภาพที่ 2) กล่าวคือ หดตัวลดลง 10% มาสู่ 4% เมื่อเปรียบเทียบของวันที่ 31 ธ.ค. 2019 และ 24 ก.พ. 2020 กับ 31 ธ.ค. 2018 ในช่วงที่สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนเป็นประเด็นที่นักลงทุนให้ความสนใจ
2.ปัจจัยเชิงมูลค่า พบว่า กลุ่มหุ้นประเทศเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) มีราคาถูก ทั้งในแง่ราคาต่อกำไรสุทธิ (Price to earnings ratio:PE) (ภาพที่ 3) และราคาต่อมูลค่าทางบัญชี(Price to book ratio:PB) (ภาพที่ 4)
3.ปัจจัยเชิงโมเมนตัม พบว่า ประเทศจีนที่มีสัดส่วนมากที่สุดในดัชนีหุ้นกลุ่มประเทศเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) มีสัดส่วนของบริษัทที่มี Earnings surprise และ Sales surpriseสูงสุดเกือบครึ่ง ในรอบ 6 เดือน และ 5 เดือน ของปี 2019 ตามล าดับ (ภาพที่ 5) รวมทั้งการใช้โยบายการเงินและการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมยังคงมีแนวโน้มอยู่ต่อไป จากอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ
4.ปัจจัยเสี่ยง พบว่า สงครามการค้าสหรัฐฯ - จีน คืบหน้า หลังการเจรจาข้อตกลงทางการค้า Phase I ซึ่งเริ่มบังคับใช้แล้วเมื่อ14 ก.พ. 2020 โดยสหรัฐฯ ยกเลิกการเก็บภาษีของกลุ่มสินค้ามูลค่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และลดอัตราการเก็บภาษีของกลุ่มสินค้ามูลค่า 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เหลือเพียงครึ่งหนึ่งคือ 7.5% โดยจีนยกเลิกการเก็บภาษีของกลุ่มสินค้ามูลค่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และตกลงนำเข้าสินค้ามูลค่าอย่างน้อย 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 2 ปีข้างหน้า (ภาพที่ 6) อีกทั้งการแพร่กระจายของไวรัสโคโรน่า ยังมีแนวโน้มจำกัดเพราะจำนวนผู้ป่วยสะสมในจีนติดเชื้อไวรัสโคโรน่าชะลอตัวลงและจำนวนผู้ป่วยรักษาหายสะสมทั่วโลก (โดยเฉพาะในจีน) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างมีนัยสำคัญ ถึงแม้จำนวนผู้ป่วยสะสมนอกจีนยังคงเพิ่มขึ้น (ภาพที่ 7)
นอกจากมุมมองในระยะสั้นข้างต้นแล้ว บลจ. พรินซิเพิล ยังเชื่อว่า หุ้นกลุ่มประเทศเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ยังมีโอกาสเติบโตในระยาวได้ จากเอกสาร Principal Investment Outlook 2020:Navigating the Era of Heightened Risk Velocity (สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก https://www.principal.th/th/Investment-Theme-2020 ) ที่ระบุถึงธีม Asia Rising ที่จีนกับอินเดีย กำลังทวงคืนความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก โดย IMF คาดว่าในปี 2024 ขนาดเศรษฐกิจของสองประเทศนี้รวมกันจะคิดเป็น 1 ใน 3 ของโลก อีกทั้ง Xi Jinping ประธานาธิบดีจีน ยังได้ประกาศในวันรับต าแหน่งว่า “จีนจะเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2049 และจะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Artificial Intelligence (AI)” ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจพิจารณาเป็นจังหวะทยอยสะสมการลงทุน ในกองทุน PRINCIPAL APDI และ PRINCIPAL CHEQ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก https://www.principal.th/th/Investment-Themes-2020/Asia-Rising
อ่านฉบับเต็มที่นี่