“วิกฤติเศรษฐกิจ” ยังมี “โอกาส” สร้างผลตอบแทน ให้ PRINCIPAL สร้างความมั่นคงกับ 3 กองทุนอนาคตไกล
ช่วงต้นปี 2563 ถือเป็นปีที่หนักหนาของใครหลายคน ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบไปยังเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ จากการปิดล็อกดาวน์ประเทศของตัวเอง ทำให้กลไกที่คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก โดยปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบไปยังตลาดทุนด้วยเช่นกัน
ในเมื่อหัวใจหลักอย่างเศรษฐกิจที่เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจได้พังลง ความเชื่อมั่น จึงถูกแทนที่ด้วย ความกังวล ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ทุกประเภทที่เคยไต่ระดับผาสูงชัน ดำดิ่งสู่ก้นเหวลึก
แต่ในช่วงที่มืดมนที่สุด ก็ยังมีโอกาส เพราะมีธุรกิจอีกไม่น้อย ที่สามารถแจ้งเกิดและยืนหยัดได้แม้ในช่วงที่เลวร้ายที่สุด จึงถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ภายใต้สถานการณ์ตลาดโดยรวมที่มีความผันผวน แต่ยังมีหุ้นบางกลุ่มปรับขึ้นต่อได้ โดยธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบ หรือได้รับผลกระทบน้อยและยังเติบโตได้ต่อเนื่องในช่วงที่เกิดสถานการณ์ COVID-19 อย่างเช่น TAL Education Group, Amazon.com Inc. และ Zoom Video Communications Inc.
กองรีทส์ หนึ่งในพระเอกในตลาดทุน เป็นตัวเลือกที่ดีการลงทุน
สินทรัพย์อย่าง กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) หลังจากเป็นพระเอกในตลาดทุนมาหลายปี แต่ในช่วงสถานการณ์ COVID19 หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ปรับตัวลงไปพร้อมกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยส่วนใหญ่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบเป็นกลุ่ม Retail, Hotel แต่ก็ยังมีสินทรัพย์บางประเภทอย่างโลจิสติกส์, ดาต้าเซ็นเตอร์, ออฟฟิศ และโครงสร้างพื้นฐาน ที่ได้รับผลกระทบน้อย โดยยังให้อัตราผลตอบแทนจากการปันผลประมาณ 4-6% เนื่องจากรายได้จากอัตราการเช่ายังคงเหมือนเดิม จึงมองว่าเป็นกลุ่มที่มีความน่าสนใจในการลงทุน
เมื่อตลาดหุ้นไทย ส่งสัญญาณฟื้นตัว แต่ราคาเริ่มแพง
สำหรับตลาดหุ้นไทยหลังจากฟื้นตัวได้มาในระดับหนึ่งแล้ว ตามแรงซื้อของต่างชาติที่เริ่มกลับมาซื้อ หลังจากขายสุทธิกว่า 1.9 แสนล้านบาท และการควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ได้ดี ส่งผลให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้ก่อนในภูมิภาค ถือเป็นปัจจัยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน
แต่อย่างไรก็ดี ด้วยการฟื้นตัวของดัชนีที่สวนทางกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน ส่งผลให้ราคาหุ้นไทยเริ่มแพง การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ยังต้องระมัดระวัง เนื่องจากตลาดยังมีโอกาสผันผวนอยู่ ขณะเดียวกันยังต้องจับตาดูสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เนื่องจากยังคงได้รับแรงกดดันจากภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตามการแพร่ ระบาดของไวรัส COVID-19 ในต่างประเทศ จึงยังคงต้องติดตามต่อไป
โดยภาพรวม การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาส แต่กลยุทธ์การลงทุนนั้น แนะนำให้นักลงทุนให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive ที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลค่อนข้างสูงและกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยจากเศรษฐกิจ หรือแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างกลุ่มค้าปลีก อาหาร โรงไฟฟ้า สาธารณูปโภค และโรงพยาบาล
ลงทุนหุ้นคุณภาพดี-ศักยภาพแข่งขันสูงทั่วโลก ด้วย “PRINCIPAL GOPP”
เมื่อเห็นโอกาสของการหาผลตอบแทนภายใต้สถานการณ์ COVID19 การมองลึกถึงหุ้นที่กองทุนลงทุน จะพบว่า “กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล ออพพอร์ทูนิตี้ (PRINCIPAL GOPP)” ที่เป็นกองทุน Feeder Fund มีนโยบายลงทุนใน ‘Morgan Stanley Investment Funds Global Opportunity Fund’ บริหารโดย “Morgan Stanley Investment Management (ACD) Limited” เน้นลงทุนในหุ้นธุรกิจคุณภาพดีทั่วโลกที่มีศักยภาพในการแข่งขันสูง เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์ หรือผู้อยู่รอดในกระแสโลกาภิวัฒน์ และได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ COVID19
อย่างเช่น ‘TAL Education Group’ ที่ผู้นำด้านโรงเรียนติวในจีนเน้น Math, Science, English มีนักเรียนลงทะเบียนเพิ่มขึ้นจาก 3.0 ล้านคนเป็น 4.6 ล้านคน มีโรงเรียนติวเกือบ 800 สาขาใน 70 เมือง ส่งผลให้รายได้โตเร็วจากคอร์สเรียนออนไลน์
‘Amazon.com Inc.’ ผู้นำด้าน Online Retailer และ Cloud Computing ซึ่งในสถานการณ์แพร่ของไวรัส COVID-19 ทำให้แทบทุกบริการของ Amazon โดยเฉพาะการซื้อขายออนไลน์ ซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน และยังมีการให้บริการพื้นที่จัดเก็บฐานข้อมูลบนระบบ Cloud สำหรับบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับโลกออนไลน์ด้วยเช่นกัน
และสุดท้าย Zoom Video Communications Inc. ผู้นำด้านVDO Meeting Platform ที่ในช่วง COVID-19 นั้น Users ผู้ใช้งานเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพิ่มจาก 10 ล้านคนเป็น 300 ล้านคน ซึ่งเทรนด์ในอนาคตเองผู้คนจะหันมาประชุมงานออนไลน์มากขึ้นและการที่อยู่บน Cloud ทำให้เพิ่มจำนวนผู้ใช้ได้ไม่จำกัด
กองรีทส์ผลงานไม่แย่อย่างที่คิด ถ้าลงทุนถูกสินทรัพย์หรือให้ “PRINCIPAL iPROP” ช่วยคัดกรองอีกแรง
กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) หนึ่งสินทรัพย์ทางเลือกที่เป็นพระเอกตลอดกาล แต่ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัส COVID-19 ได้ส่งผลกระทบที่รุนแรงแก่โรงแรม รีสอร์ท และห้างสรรพสินค้า ด้วยการล็อกดาวน์ประเทศควบคู่กับการกักตัวอยู่ในพื้นที่อาศัย ทำให้รายได้ของสินทรัพย์ดังกล่าวหายไป
แต่ในทางกลับกันยังมีสินทรัพย์บางประเภทได้รับประโยชน์แบบเห็นได้ชัด อย่าง ดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จึงถือว่า “กองเปิดพรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม (PRINCIPAL iPROP)” ถือเป็นอีกกองที่ตอบโจทย์ได้ดี เนื่องด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ อย่าง โลจิสติกส์, ดาต้าเซ็นเตอร์, ออฟฟิศ, และโครงสร้างพื้นฐานใน ‘ไทย’ และ ‘สิงคโปร์’ เป็นหลัก ซึ่งเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่สามารถเอาชนะและได้ประโยชน์จาก COVID-19
แนวโน้มในอนาคตก็ยังคงมีการเติบโตและความต้องการยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการเติบโตของ Digital Economy เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนอุปสงค์ สำหรับกอง PRINCIPAL iPROP ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา กองทุนสามารถจ่ายผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยกว่าปีละ 5% และได้รับการจัดอันดับ 5 ดาว จาก Morningstar
คว้าโอกาสลงทุน SET ด้วย “PRINCIPAL TDIF”
อีกหนึ่งตัวเลือกการลงทุนอย่าง “กองทุนเปิดพรินซิเพิล ไทย ไดนามิก อินคัม อิควิตี้ (PRINCIPAL TDIF)” ที่กระบวนการลงทุนแบบ SMART DIVIDEND ที่จะคัดเลือกหุ้นไทย ที่ได้รับคะแนน CG score ระดับ 3 ดาวขึ้นไป จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD)
รวมถึงบริษัทที่มีพื้นฐานที่ดี มีศักยภาพในการเติบโต สามารถผลิตกระแสเงินสดที่ดี และมีแนวโน้มที่จะจ่ายปันผลได้ในระดับเท่าเดิมหรือสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ตัวอย่างหุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้ากองอย่าง บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO ที่ได้รับผลกระทบ COVID-19 เพียงเล็กน้อยในส่วนของงานก่อสร้าง แต่ความต้องการไฟฟ้ายังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และบริษัทมีความพร้อมที่จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตในต่างประเทศได้อีกมาก
“ในยาม วิกฤติ จะมี โอกาส ซ่อนอยู่เสมอ คงไม่พ้นในตลาดทุนเองก็เช่นกัน แม้ว่าในช่วงที่ตลาดจะลงดิ่งแค่ไหน หรือ พุ่งสูงกว่ายอดเขา
แต่ถ้ามีจังหวะการลงทุนที่ดี หรือผลิตภัณฑ์ที่ดี อย่าง “กองทุนเปิดพรินซิเพิล ไทย ไดนามิก อินคัม อิควิตี้ (PRINCIPAL TDIF)”,
“กองทุนเปิดพรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม (PRINCIPAL iPROP)” และ “กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล ออพพอร์ทูนิตี้ (PRINCIPAL GOPP)”
ก็อาจเป็นตัวช่วยสร้างผลตอบแทนได้ดีหรือเอาชนะตลาดได้ไม่ยาก”