สรุปการประชุมเรื่องตลาดหุ้นเวียดนาม ปรับลดลงแรงในช่วงกลางเดือนเมษายนปี 2024

 

Image

 

สรุปการประชุมเรื่องตลาดหุ้นเวียดนาม
ที่ปรับลดลงแรงในช่วงกลางเดือนเมษายนปี 2024

  • การปรับฐาน (Correction) ของตลาดหุ้นเวียดนามในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ดังนี้ ปัจจัยภายในเกิดความผันผวนจากสถานการณ์ทางการเมือง ระบบการปกครองของเวียดนามเป็นสังคมนิยม ทำให้ผู้นำสูงสุดของการเมืองเวียดนาม คือ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ปัจจุบันคือคุณ “เหงียน ฟู้ จ่อง” ซึ่งดำรงตำแหน่งมานานมากแล้ว ปัจจุบันมีอายุมากถึง 80 ปีและมีปัญหาด้านสุขภาพ คาดการณ์อนาคตอันใกล้อาจมีการเปลี่ยนเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์คนใหม่ โดยมีผู้ได้รับการเสนอชื่อประมาณ 4 – 5 คน ทำให้ในช่วงที่ผ่านมามีการปล่อยข่าวทางการเมืองต่าง ๆ เพื่อทำลายชื่อเสียงฝั่งตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนควรติดตามต่อเนื่องว่าผู้ที่จะได้รับตำแหน่งคนต่อไปจะมีนโยบายในแนวทางใด เช่น กลุ่มอนุรักษ์นิยม หรือผสมผสานระหว่างอนุรักษ์นิยมและการเติบโต และมีแนวคิดเรื่องการปราบปรามการคอร์รัปชั่นแบบใด การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงนี้ส่งผลต่อการเปลี่ยนประธานาธิบดีของเวียดนามในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามตำแหน่งประธานาธิบดีของเวียดนามไม่ได้มีอำนาจมากนักเมื่อเทียบกับตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีดังกล่าวตลาดก็มีปรับฐานระยะสั้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดหุ้นเวียดนามมีการรับรู้ (Price in) เรื่องเสถียรภาพทางการเมืองทั้งหมดไปแล้วในช่วงวันสัปดาห์ที่ผ่านมา 

  • ราคาทองปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยราคาทองคำของเวียดนามนั้นมักจะสูงกว่าราคาในตลาดโลก เนื่องจากรัฐบาลเป็นผูกขาด (Monopoly) ในการควบคุมอุปทานของทองคำในประเทศ โดยรัฐบาลไม่มีการนำทองคำออกมาให้ประมูลในช่วงที่ผ่านมาด้วย จากอุปสงค์ (ความต้องการ) และอุปทานที่ไม่สอดคล้องกันทำให้ค่าเงินดอง (VND) เกิดการอ่อนค่าลง ทั้งนี้รัฐบาลกลางเวียดนามเริ่มพิจารณาออกกฎหมายให้การซื้อขายทองเสรีมากขึ้น 

  • ประเด็นเรื่องปริมาณเงินทุนสำรองของธนาคารกลางเวียดนาม (State Bank of Vietnam: SBV) ที่มีอยู่ในปัจจุบันถือว่าไม่น่ากังวล โดยมีทุนสำรองค่อนข้างเยอะในปัจจุบัน ซึ่งมีการปรับขึ้นต่อเนื่องช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ SBV มีการใช้ไปช่วยเรื่องสภาพคล่องกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ในปี 2022 ปัจจุบันแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคของเวียดนามนั้นยังคงแข็งแกร่งโดยเฉพาะการส่งออกที่ฟื้นตัวแรง ตัวเลขนักท่องเที่ยวกลับมามากขึ้นโดยมีโอกาสทำ New high ได้ในปี 2024 และตัวเลข FDI ที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณเงินทุนสำรองของเวียดนามเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยค่าเงินดองที่อ่อนลงนั้นส่งผลให้ทุนสำรองน้อยลง แต่หากสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ หรือมีข่าวพัฒนาการด้านสงครามที่ดีขึ้น ค่าเงินดองและสกุลเงินอื่นๆ ก็มีแนวโน้มผันผวนน้อยลงและแข็งค่าขึ้นได้ต่อไปในอนาคต ซึ่งจะทำให้มีเสถียรภาพทางการเงินเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้หากค่าเงินดองอ่อนค่าลงต่อเนื่องก็จะส่งผลให้ความกังวลต่อระบบการเงินของเวียดนามเพิ่มมากขึ้นและอาจส่งผลให้ตลาดหุ้นเวียดนามเกิดความผันผวนได้

  • สำหรับปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกับราคาตลาดหุ้นเวียดนาม คือ สงครามระหว่างอิหร่านและอิสราเอล นักลงทุนย้ายเงินลงทุนจากสินทรัพย์เวียดนามไปที่ Safe Haven ต่าง ๆ เช่น ทองคำ หรือ สกุลเงินดอลลาร์มากขึ้น ดังนั้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวลงรุนแรงโดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกิดใหม่และกลุ่มประเทศชายขอบที่ค่าเงินอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นเวียดนามช่วงที่ผ่านมาจึงเกิดจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก
    สำหรับประเด็นที่ธนาคารกลางเวียดนามปล่อยกู้พิเศษให้กับธนาคาร SCB (Saigon Commercial Bank) จากประเด็นการคอร์รัปชั่นของนักธุรกิจหญิงรายใหญ่ของเวียดนามถือเป็นข่าวเดิมเมื่อสองปีที่ผ่านมา โดยนักลงทุนไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้แล้ว เพราะมีการจับกุมมา 1-2 ปีที่ผ่านมา เพียงแต่ศาลประกาศประหารชีวิตในเดือนเมษายนและทำให้ผู้ลงทุนรับรู้ข่าวเรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง ถึงแม้ว่าธนาคาร SCB จะเป็นหนึ่งในธนาคารที่มีขนาดใหญ่ของเวียดนามแต่ก็เป็นธนาคารที่ประชาชนในประเทศเวียดนามใช้บริการ ไม่มาก เนื่องจากรับรู้เป็นปกติทั่วไปว่า SCB มีการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใสมากนัก จากการที่ใช้เงินของ SCB มาหมุนเวียนให้กับผู้ถือหุ้นและผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ SCB ต้องให้ดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงกว่าธนาคารอื่นๆ เพื่อดึงดูดให้มีผู้ใช้บริการมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นความเสี่ยงของ SCB จึงไม่ได้กระทบกับประชาชนในวงกว้าง

  • ในส่วนของการเติบโตของสินเชื่อ (Loan growth) ที่ออกมาต่ำในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2024 นั้นไม่น่ากังวล เนื่องจากปกติธนาคารต่างๆ ของเวียดนามจะได้รับโควต้าให้ปล่อยกู้จาก SBV การพิจารณาให้โควต้านั้นจะดูจากความแข็งแกร่งทางการเงินจาก Balance Sheet และพิจารณาว่าธนาคารใช้โควต้าที่ให้ไปในปีที่ผ่านมาเต็มจำนวนหรือไม่ โดยถ้าหากธนาคารใช้โควต้าไม่ครบ SBV ก็จะพิจารณาปรับลดโควต้าการปล่อยกู้ของธนาคารนั้นลง ทำให้ในช่วงปลายปีธนาคารหลายแห่งจะเร่งปล่อยกู้จำนวนมากเพื่อให้ใช้โควต้าได้ครบจำนวน ดังนั้นตัวเลข Loan growth ช่วงไตรมาสแรกของปีจะเสมือนว่าน้อยลงเมื่อเทียบกับตัวเลขของปลายปีก่อน จากการที่ธนาคารได้ปล่อยกู้ในส่วนของไตรมาสแรกไปในช่วงปลายปีที่แล้วแล้ว ทั้งนี้ภาพรวมในอนาคตเรื่อง Loan growth มีทิศทางที่ดีขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้

  • ความผันผวนทางการเมืองในประเทศเวียดนาม และภาวะสงครามที่เกิดในตะวันออกกลางนั้นคาดว่าไม่ส่งผลต่อ Timeline เรื่องการอัปเกรดเวียดนามให้ขึ้นจากการเป็น Frontier Markets สู่ Emerging Markets โดยในอนาคตอันใกล้ที่แนวโน้มที่จะเริ่มใช้ระบบการเทรดใหม่เพื่อรองรับการ Upgrade ครั้งนี้ เมื่อพิจารณาปัจจัยทางเทคนิคของตลาดหุ้นเวียดนาม จะเห็นว่าราคาปัจจุบันอยู่ใกล้แนวรับที่ระดับ 1,170 โดยแนวรับนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง บลจ.พรินซิเพิลแนะนำว่าเป็นจังหวะที่ดีในการสะสมเพิ่ม ทั้งนี้หากผู้ลงทุนต้องความชัดเจนมากกว่านี้สามารถรอผลลัพธ์เรื่องของสงครามได้ในสัปดาห์ต่อไป โดยหากมีพัฒนาการออกมาในทิศทางบวกก็มีโอกาสที่ตลาดหุ้นเวียดนาม ตลาดหุ้น Emerging Markets และตลาดหุ้นทั่วโลกปรับขึ้น โดยปัจจุบัน บลจ.พรินซิเพิลยังมีเป้าของ VN Index ที่ 1,130 จุด (Base Case) และมี Best Case ที่ระดับ 1,400 เช่นเดิม

  • แนวทางการลงทุนของกองทุน PRINCIPAL VNEQ ยังเน้นลงทุนในกลุ่มธนาคาร เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพ (Quality) มีแนวโน้มเติบโตของสินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้น และเน้นลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกเนื่องจากมีแนวโน้มส่งออกได้มากขึ้น โดยในส่วนของหุ้นบริษัทที่ตกลงแรง เช่น Vingroup Vinhomes Vinfast ต่าง ๆ กองทุน PRINCIPAL VNEQ ไม่ได้มีการลงทุนกลุ่มเหล่านี้ในพอร์ตการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา การลงทุนของ PRINCIPAL VNEQ มี Core Holdings มากถึง 70% - 80% โดยเน้นลงทุน ในบริษัทที่มีคุณภาพดี มีธรรมาภิบาล โดยจะถือหลักทรัพย์ในระยะยาว ทำให้ Turnover ของหุ้นไม่สูงมาก พอร์ตลงทุนไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้หากหลักทรัพย์ตัวใดที่มีแนวโน้มราคาหรือพื้นฐานหลักทรัพย์ต่างจากที่ประเมินไว้มาก ผู้จัดการจะทำการ Liquidate หุ้นตัวนั้นออกไป ยกตัวอย่างเช่น หุ้นกลุ่ม Beverage ซึ่งการลงทุนในพอร์ตในสัดส่วนต่ำประมาณ 1% - 2% เพื่อเป็นพอร์ตการลงทุนเสริม (Satellite Portfolio) เท่านั้น จึงไม่ส่งผลมากกับผลการดำเนินของกองทุน    รวมทั้ง ความเชี่ยวชาญในการบริหารกองทุนหุ้นเวียดนามโดยตรง (Direct Investment) ที่เน้นคัดเลือกหุ้นคุณภาพ การวิเคราะห์เจาะลึกในการคัดเลือกหุ้นรายตัว ทำให้กองทุน PRINCIPAL VNEQ ไม่มีการลงทุนในหุ้น VTP และ SCB หรือหุ้นที่มีโอกาสที่จะมีปัญหาในอนาคต

  • โดยสรุปแล้วปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นเวียดนามปรับลงแรงในช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมานั้นเกิดจากปัจจัยภายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์ และปัจจัยภายนอกจากสงครามระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ซึ่งทำให้นักลงทุนย้ายการลงทุนออกจากสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น ไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น จากราคาตลาดหุ้นเวียดนามที่ปรับลงนั้นแนะนำให้ผู้ลงทุนสะสมการลงทุนในกองทุน PRINCIPAL VNEQ เพิ่ม (Buy on dip) เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ของเวียดนามทั้งการส่งออก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การท่องเที่ยว และการเติบโตของสินเชื่อฟื้นตัวขึ้นมาก โดยกองทุน PRINCIPAL VNEQ ลงทุนในหุ้นคุณภาพ ที่มีธรรมาภิบาลในการดำเนินงานเน้นลงทุนระยะยาวเป็นพอร์ตการลงทุนหลักประมาณ 70% โดยมีหลักทรัพย์ที่ราคาผันผวนมากเพื่อเป็นพอร์ตการลงทุนเสริมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยหากปัจจัยพื้นฐาน แนวโน้มการเติบโตหรือราคาของหลักทรัพย์แตกต่างจากที่ประเมินไว้ ผู้จัดการกองทุนอาจพิจารณานำหลักทรัพย์นั้นออกจากกองทุนทันที กองทุน PRINCIPAL VNEQ พิสูจน์ผลงานการลงทุนได้รับ Morningstar ระดับ 5 ดาว อย่างต่อเนื่อง (31 มี.ค. 2024) กองทุนสร้างผลตอบแทนอันดับ 1 ไตรมาส 1/2024 YTD (ม.ค. - มี.ค. 2024) สร้างผลตอบแทนได้ถึง 24.09% สูงกว่าดัชนีเปรียบเทียบ 14.32%  โดยเป็นผลตอบแทนอันดับ 1 เทียบกับกองทุนหุ้นเวียดนามในประเทศไทย (Source: Morningstar as of 31 มี.ค. 2024)


                                                                                                                                                                                                                        ข้อมูลวันที่ 19 เมษายน 2024

                                                                                                       

Image
Image

 

คำเตือนผู้ลงทุนควรทําความเข้าใจลักษณะสินค้า (กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทน และ ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน / กองทุน PRINCIPAL VNEQ ลงทุนกระจุกตัวในประเทศเวียดนาม 
ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย / กองทุนมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ กองทุนอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไร จากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าทุนเริ่มแรกได้  / บริษัทจัดการใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของกองทุน (Hedging) ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน / Copyright @ 2024 บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสริช์ ประเทศไทย สงวนลิขสิทธิ ข้อมูลที่ประกอบในเอกสารนี้ : (1) เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทมอร์นิ่งสตาร์ และ/หรือ ผู้ให้บริการข้อมูล (2) บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการทำซ้ำ หรือเผยแพร่ (3) บริษัทขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่รับผิดชอบต่อความถูกต้อง ครบถ้วน และความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นทุกกรณีจากการนำข้อมูลไปใช้อ้างอิง ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต