กองทุนตราสารหนี้ของ บลจ. พรินซิเพิล ลงทุนในตราสารภาครัฐที่มีความมั่นคงสูง และตราสารเอกชนคุณภาพระดับ Investment Grade
อ้างถึง การแถลงข่าวมาตราการรองรับสถานการณ์ COVID-19 โดยกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานกลต. เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2563 ได้ออกมาตราการสนับสนุนเสถียรภาพตลาดการเงินไทย โดยหนึ่งในสามมาตรการคือ ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดตั้งกลไกพิเศษเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่กองทุนรวมผ่านธนาคารพาณิชย์ โดยธนาคารพาณิชย์ที่เข้าซื้อหน่วยลงทุนจากองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) และกองทุนรวมตราสารหนี้ที่เป็นกองทุนเปิด (DailyFixed Income Fund) ที่ถือสินทรัพย์คุณภาพดี แต่ได้รับผลกระทบจากการที่ตลาดเงินขาดสภาพคล่องสามารถนำหน่วยลงทุนดังกล่าวมาวางเป็นหลักประกัน เพื่อขอสภาพคล่องจาก ธปท.ได้ โดยจะดำเนินการจนกว่าสถานการณ์ในตลาดการเงินจะเข้าสู่ภาวะปกติ จากการประมาณการเบื้องต้นพบว่ามีกองทุนรวมตราสารหนี้มีสินทรัพย์คุณภาพดีที่สามารถนำมาวางเป็นหลักประกัน เพื่อขอสภาพคล่องจาก ธปท.ได้ มูลค่ารวมกว่าหนึ่งล้านล้านบาท (ข่าว กลต. ฉบับที่ 62/2563 https://www.sec.or.th/TH/Pages/News_Detail.aspx?SECID=8037)
บลจ.พรินซิเพิล มีมุมมองว่า มาตรการนี้จะเสริมสภาพคล่องของตลาดการเงินในภาวะตลาดการเงินโลกที่ผันผวน โดยทำให้ตลาดตราสารหนี้เข้าสู่การทำงานได้อย่างปกติอีกทั้งสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนต่อการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้รวมถึง ณ ปัจจุบันธนาคารแห่งชาติของประเทศต่างๆ ได้เริ่มมาตรการการรักษาเสถียรภาพการเงินของประเทศตนเองโดยการเพิ่มปริมาณเงินในระบบหรือการเสริมสภาพคล่องในระบบ (QE) ซึ่งเป็นมาตรการที่ทำอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพและท าหลายๆประเทศพร้อมกัน เพื่อให้ตลาดการเงินของโลกอยู่ในภาวะความผันผวนให้ต่ำที่สุดและกลับสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้น หากนักลงทุนตัดสินใจในการขายคืนหน่วยลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ในช่วงภาวะที่ตลาดผิดปกติจะทำให้ท่านนักลงทุนได้รับราคาที่ต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมหรือราคาต่ำกว่าความเป็นจริง
บลจ.พรินซิเพิล ขอให้ผู้ลงทุนทุกท่านเชื่อมั่นว่า กองทุนรวมตราสารหนี้ภายใต้การบริหารของ บลจ.พรินซิเพิล บริษัทจัดการมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความมั่นคงสูงและเป็นตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ โดยลงทุนในเงินฝากธนาคารและตราสารหนี้ภาครัฐ และตราสารหนี้ภาคเอกชนในระดับ Investment Grade โดยกองทุนไม่มีการลงทุนในตราสารที่ไม่มีอันดับเครดิต (Non-rated Bonds) และไม่มีการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ
อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้และสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตการลงทุนกองทุนตราสารหนี้
- กองทุนเปิดพรินซิเพิล เดลี่ อินคัม (PRINCIPAL iDAILY) อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ในพอร์ต 0.22 ปี ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนในเงินฝากธนาคารและตราสารหนี้ภาครัฐประมาณ 63% และลงทุนในหุ้นกู้เอกชนที่มีคุณภาพดีประมาณ 32%
- กองทุนเปิดพรินซิเพิล เดลี่ อินคัม พลัส (PRINCIPAL DPLUS) อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ในพอร์ต 0.45 ปี ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนในเงินฝากธนาคารและตราสารหนี้ภาครัฐประมาณ 32% และลงทุนในหุ้นกู้เอกชนที่มีคุณภาพดีประมาณ 61%
- กองทุนเปิดพรินซิเพิล คอร์ฟิกซ์อินคมั (PRINCIPAL iFIXED) อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ในพอร์ต 1.67 ปี ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนในเงินฝากธนาคารและตราสารหนี้ภาครัฐประมาณ 51% และลงทุนในหุ้นกู้เอกชนที่มีคุณภาพดีประมาณ 42%
*ข้อมูล ณ วันที่ 20 มีนาคม 2563
ทั้งนี้ ในส่วนของการลงทุนในตราสารหนี้เอกชน ผู้จัดการกองทุนจะมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านเครดิตอย่างละเอียดทุกครั้งก่อนการลงทุน และต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการลงทุน (Investment Committee) รวมทั้งมีความร่วมมือกันกับทีมผู้จัดการกองทุนในกลุ่ม Principal ระดับภูมิภาคอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้หลังจากลงทุนไปแล้ว ทีมผู้จัดการกองทุนจะทำงานร่วมกับทีมบริหารความเสี่ยง เพื่อทบทวนความเสี่ยงด้านเครดิตโดยจัดทำเป็น Internal Credit Scoring ทุก 3 เดือน เพื่อติดตามสถานการณ์และความสามารถในการช าระหนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีคุณภาพภายใต้ภาวะการลงทุนที่เหมาะสมในแต่ละขณะ และสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมให้กับนักลงทุนทุกท่าน บริษัทจัดการขอแนะนำการลงทุนใน
ตราสารหนี้ขอแนะนำให้ถือครองการลงทุนอย่างน้อย 6 เดือนสำหรับกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยตราสารไม่สูงมาก และถือครองในระยะ 1-3 ปีสำหรับกองทุนที่มีอายุตราสารเฉลี่ยในพอร์ตในระดับกลาง-ยาว เพื่อให้ท่านได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม