มุมมองผลกระทบของ COVID-19 ต่อเศรษฐกิจและตลาดทุน
บลจ. พรินซิเพิล ได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างใกล้ชิด และได้ประเมินผลกระทบเบื้องต้น ดังนี้
1.ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย – คาดว่ากระทบมากในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพา “การท่องเที่ยว” เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ขับเคลื่อนหลัก โดยภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบทั้งจากนักท่องเที่ยวจีน (สัดส่วน 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด) และจากนักท่องเที่ยวจากชาติอื่นที่ชะลอหรือระงับการเดินทาง ทั้งนี้ สานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ลงเหลือ 1.5-2.5% จากเดิม 2.7-3.7% สาเหตุสาคัญมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างไรก็ดี คาดว่าตัวเลข GDP จะไม่ถึงขั้นติดลบ และคาดว่าสถานการณ์จะ ฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง
2.ผลกระทบต่อสุขภาพ - ยังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดได้เร็ว และยังไม่มีกรณี Super Spreader (ดังเช่นในเกาหลีใต้) ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อล่าสุดมีจานวน 40 คน รักษาหายและกลับบ้านได้แล้ว 22 คน อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงที่การแพร่ระบาดในไทยจะเข้าสู่ระยะที่ 3 จึงยังคงต้องติดตามสถานการณ์ อย่างใกล้ชิด
3.ผลกระทบต่อตลาดทุน - ในระยะแรก ตลาดหุ้นจีนและหลายประเทศในเอเชียปรับลงแรง แต่ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวเร็วหลังจากตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อใหม่ในจีนเริ่มลดลง ในระยะต่อมา เมื่อมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอีกระลอก ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่ปรับลงมากที่สุด โดยผลตอบแทน YTD (ณ วันที่ 26 ก.พ. 2020) ของ SET Index อยู่ที่ -13.5%
ในภาวะเช่นนี้ บลจ. พรินซิเพิล มีมุมมองต่อสินทรัพย์แต่ละกลุ่มและมีแผนรองรับ ดังนี้
1. ตราสารหนี้ – ผู้จัดการกองทุนได้เพิ่ม Duration ของพอร์ตตราสารหนี้ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2019 จึงได้รับผลบวกจากทิศทางอัตราผลตอบแทน (Yield) ที่ปรับลง ทำให้มูลค่าตลาดของพันธบัตรและหุ้นกู้ปรับตัวขึ้น
2. ตราสารทุน – ผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มสัดส่วนเงินสดและสินทรัพย์สภาพคล่องในช่วงเดือน ม.ค. 2020 จากปกติ 3-5% เป็น 8-10% ทำให้พอร์ตปรับลงน้อยกว่าดัชนีอ้างอิง และช่วยให้มีกระแสเงินสดไว้รอลงทุนในหุ้นคุณภาพดีที่มีราคาปรับลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน
3. สินทรัพย์ทางเลือก (Property Funds/REITs/Infrastructure Funds) – ผู้จัดการกองทุนมีนโยบายเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี มีอัตราการเช่าสูง และรายได้ค่าเช่ามั่นคง โดยเน้นกลุ่ม Logistics, Data Centers, Office และ Infrastructures ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และแทบไม่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 พร้อมกับหลีกเลี่ยงกลุ่มโรงแรมซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจาก COVID-19 แม้ความกังวลเรื่องไวรัสจะทาให้ตลาดปรับลงบ้าง แต่กลุ่มสินทรัพย์ทางเลือกยังให้ผลตอบแทน YTD ดีกว่า SET Index และการปรับฐานของตลาดในรอบนี้นับเป็นจังหวะดีในการทยอยลงทุนเพิ่มใน REITs คุณภาพดีที่มีราคาถูกลง
คำแนะนำการลงทุน
บลจ. พรินซิเพิล ได้แนะนาผู้ลงทุนตั้งแต่ต้นปี 2020 ว่า หนึ่งในธีมลงทุนของปีนี้ คือ Risk Velocity ซึ่งเป็นภาวะที่ ราคาสินทรัพย์กับทิศทางเศรษฐกิจไม่ไปด้วยกัน ทำให้ตลาดหุ้นผันผวนมากขึ้น และผันผวนด้วยอัตราเร่งที่สูงขึ้น เครื่องมือที่ เราสามารถใช้ลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของตลาดได้ คือ การกระจายเงินลงทุน (Diversification) จึงขอย้ำคำแนะนำให้ผู้ลงทุนจัดพอร์ตแบบกระจายเงินลงทุนในหลายสินทรัพย์ โดยมีตัวอย่างการจัดพอร์ตของกองทุน PRINCIPAL iBALANCED* ที่กระจายใน 5 กลุ่มสินทรัพย์ ได้แก่ ตราสารหนี้ไทย, หุ้นไทย, หุ้นต่างประเทศ, อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ ทำให้ผลการดำเนินงานย้อนหลังของดัชนี YTD (ณ วันที่ 31 ม.ค. 2020) อยู่ที่ 0.20% (ผลการดาเนินงานย้อนหลัง YTD ของดัชนีอ้างอิง 0.28% โดยมีดัชนีอ้างอิงคือ GovBond 1-3Yrs NTR Index 40.00% + SET TRI Index 15.00% + M1WO index adjusted with FX hedging cost 15.00% + Gold London PM Fix plus Hedging Cost (USD) 5.00% + SET PF&REIT TRI Index 12.50% + FSTREI TRI Index adjusted with FX hedging cost 12.50)เทียบกับผลตอบแทนของ SET Index ในช่วงเดียวกันที่ -4.11% (แหล่งข้อมูล: ThaiBMA, The Stock Exchange of Thailand, Bloomberg, BOT, MorningStar Direct)
นอกจากนี้ บลจ. พรินซิเพิล ขอแนะนำให้ผู้ลงทุนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่ไม่ควรตกใจ เพราะมีหลายเหตุการณ์ในอดีตที่ความตกใจกลัว (Fear) ทำให้ตลาดหุ้นลงแรง มีหุ้นหลายตัวที่ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากเหตุการณ์นั้นโดนขายไปด้วยสถานการณ์แบบนี้จึงน่าจะเป็น “โอกาส” การเข้าลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีที่ราคาถูกกว่าเดิม